วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ...สมุนไพร

สมุนไพรแก้หวัด


เจ็บคอ เป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยในคนทุกเพศ ทุกวัย มักเกิดร่วมกับอาหารหวัด แพ้อากาศ หรือไอเป็นเวลานาน ซึ่งต้องรักษาอาการอื่นๆ กันไปด้วย การเจ็บคอบางครั้งมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส อาจทำให้คอแดง มีเสมหะมาก สีเหลืองขุ่นหรือสีเหลืองปนเขียว สำหรับอาการเจ็บคอเล็กน้อย หรือเมื่อเริ่มมีอาการอาจเลือกใช้สมุนไพรก่อนในเบื้องต้น สมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการเจ็บคอได้ดี คือ 

 ฟ้าทะลายโจร
ส่วนที่ใช้ ถ้าเก็บตอนเริ่มมีดอก จะใช้ทั้งต้นบนดิน แต่ถ้าต้นแก่จะใช้เฉพาะใบเท่านั้น ใช้ได้ทั้งใบสดและแห้งซึ่งมีรสขมจัด
ขนาดและวิธีใช้ บดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 ซม. กินครั้งละ 3-6 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร   หรือใช้ใบสด 1-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง



ถ้าในครอบครัวมีเด็กเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล  ให้ใช้ใบมะขามสด  ขนาดพองามคือไม่แก่ไม่อ่อน ประมาณ  ½ ลิตร  ใส่หม้อเติมน้ำให้ท่วมต้มให้เดือดนานพอสมควรใส่กะละมัง  ตากน้ำค้างไว้ 1 คืน  รุ่งเช้าทุบหัวหอมแดงที่ใช้แกง 1 หัว  เอาน้ำชโลมศีรษะเด็กให้ทั่วจนเปียก น้ำที่เหลืออาบให้เด็ก ทำติดต่อ 2 – 3 วัน  อาการเป็นหวัด คัดจมูก จะหายเป็นปกติ
 



สมุนไพรแก้อาการไอ 



เอาขิงแก่ ๆ หั่นเป็นชิ้น  15 ชิ้น  ใส่หม้อเติมน้ำ 3 แก้ว ต้มเดือดประมาณ 15 นาที  ตักขิงออก เอาใบมะขามสด 2 กำมือ  ใส่ลงไปต้มให้นานพอควรจนเห็นว่าน้ำมะขามออกดีแล้ว กรองเอาเฉพาะน้ำต้มเคี่ยวให้นาน ใส่น้ำตาลกรวด  เคี่ยวให้เป็นน้ำเชื่อม  ตั้งไว้ในเย็น  จิบครั้งละ  1 ช้อนชา แก้ไอได้ผลดีมาก



สมุนไพรชื่อว่า “กระเทียม”  แก้ไข้หวัด   ขับเสมหะ   หลอดลมอักเสบ




แก้ไข้หวัด 



         



ใช้กระเทียมกลีบเล็ก 1 กลีบ  หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ใช้ช้อนบี้ให้แตก เติมน้ำร้อนลงไป  1 ถ้วยปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที   เติมน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมตามใจชอบ กินวันละ 2 ถ้วย  ถ้าอาการหายแล้วให้กินวันละ 1 ถ้วย อีก 3 วัน หรือมากกว่านั้น

ขับเสมหะ



            ใช้กระเทียม 1 – 2 กลีบ  โขลกให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชูแท้ ประมาณ 2 – 3 ช้อนแกง  คั้นเอาแต่น้ำรับประทานขับเสมหะ  หรือจะใช้หัวกระเทียมและเกลือฝนกับน้ำมะนาวใช้กวาด หรือจิบก็ได้



หลอดลมอักเสบ



          ใช้กระเทียมหั่นเป็นชิ้นโต ๆ ลงไปน้ำร้อน 1 แก้ว  แล้วต้มให้เดือดช้า ๆ  รับประทานแก้หลอดลมอักเสบ



ละลายเสมหะ  เสียงแหบแห้ง



            เอายอดมะม่วงที่ค่อนข้างแก่มาสัก  1  กำมือ  สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ เอามาใส่หม้อต้ม  ใส่น้ำลงไปสัก  2 – 3 แก้ว  ต้มเคี่ยวให้เดือดอ่อน ๆ สัก 15 นาที  ให้สรรพคุณทางยาออกมากับน้ำ  เอามาจิบดื่ม ครั้งละเล็กน้อยเรื่อย ๆ  ดื่มกันได้ทั้งวัน เวลาหิวน้ำก็เอายานี้มาดื่ม   อาการมีเสมหะจะค่อย ๆ ลดลงแล้วหายไปในที่สุด  อาการเสียงแหบแห้งก็จะทุเลาลงเช่นกัน  2 – 3 วัน ก็จะหายเป็นปกติ




ตะไคร้แก้ไข้หวัด  คัดจมูก มีน้ำมูกไหล



            เอาตะไคร้หั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มรวมกับขิงสด  ส่วนพอสมควร  ดื่มน้ำต้มนั้นบ่อย ๆ



คัดจมูก มีน้ำมูกไหล
            ใช้ ตะไคร้  ใบมะขาม  หัวหอม  ส่วนพอสมควร  ต้มให้เดือดนานพอควร  ใช้สูดดมไอน้ำ  อาการหวัดคัดจมูกจะค่อย ๆ หายไป



เสียงแหบแห้งเพราะเป็นหวัด แพ้อากาศ
            เอาต้นตะไคร้หั่นเป็นชิ้น ๆ แช่น้ำเกลือพอเค็ม  เคี้ยวกลืนกากและน้ำ

เริ่มจะเป็นไข้
            ใช้อ้อย  3  ปล้อง  ตัดข้อออก ผ่า  4  ส่วน  เอา  9  ส่วน  แช่ในน้ำครึ่งขวดขาวทิ้งไว้  30  นาที  เอาน้ำดื่มครั้งละ  1  แก้ว  ติดต่อกัน  3  ครั้ง  หาย



คอเจ็บ
            ใช้ดอกบัวสด  1  ดอก   ชงกับน้ำร้อน  3  แก้ว  ดื่มน้ำ จะหายเจ็บคอ



หอบ-หืด



            เอาผิวไม้ไผ่  1  กำมือ  ห่อด้วยใบตองกล้วยตานี ต้มกินหาย      
แก้อาการเจ็บคอ
มะขามสด แช่น้ำร้อน กรองเอาเฉพาะน้ำ ต้มจาก 3 ถ้วย เหลือ 1 ถ้วย ผสม น้ำอ้อย 1/2 ส่วน กินทุกวัน หายดี

แก้โรคท้องร่วง
ทานน้ำส้มสด หรือ น้ำมะขามต้ม ช่วยให้ท้องหยุดเดินได้ ดีนักแล

แก้โรคปวดตามข้อ ตามกระด

ในคนแก่   ใช้ใบฝรั่งสด 7-10 ใบ ต้มน้ำ เอาน้ำมาถู บริเวณที่ปวด จากนั้น เอาเหล้า 35 ดีกรี ลูบ เป่าด้วยลมปาก เพียง 2-3 นาที หายปวดเร็วครัน



ติดต่อเราได้ที่     ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภิรยาดาการแพทย์

โทร .038-027681 ,  085-7450472,085-9307722 ,087-9172219    Fax.  038-027681
email : Pirayadakanpat@gmail.com






งดเหล้าเข้าพรรษา กับตับแข็ง



            งดเหล้าเข้าพรรษา กับตับแข็ง

ตับแข็งมาจากสาเหตุหลายๆอย่าง ที่นำมาอันดับหนึ่งในบ้านเรา ก็มาจากการดื่มสุรามากเกินไปนั่นเอง [alcoholic cirrhosis] ถัดมาก็เป็นสาเหตุจากการเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซึ่งได้แก่ ไวรัส B;C;และ D หรือเกิดจากสารพิษในอาหารที่วางขายตามท้องตลาดที่มีเชื้อราปนเปื้อนอยู่ ดังนั้นเราควรต้องบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ และมีคุณสมบัติขจัดสารพิษต่างๆได้ นอกจากนี้ก็เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น wilson's disease เป็นโรคหนึ่งที่ทำให้มีการสะสมของธาตุทองแดงในร่างกายมากกว่าปกติ นานเข้าตับก็เสื่อมสภาพได้ อีกโรคก็คือ ภาวะที่ท่อทางเดินน้ำดีตีบตันแต่กำเนิด [biliary atresia]จะทำให้น้ำดีคั่งอยู่ภายในตับ นานๆเข้าตับก็จะถูกทำลายด้วยความดันที่สูง ในที่สุดก็กลายเป็นตับแข็ง ซึ่งอาการมักเป็นตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ









เมื่อเราดื่มสุรา alcohol จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วในทางเดินอาหาร ซึ่งหลอดเลือดจากทางเดินอาหารเหล่านี้จะพาเลือดเข้าสู่ตับโดยตรง alcohol จะถูกเปลี่ยนเป็นสารเคมีอื่นต่างๆหลายชนิด ซึ่งมีผลในการทำลายเนื้อตับแสนสวยของเรา ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า เนื้อตับก็จะถูกทำลายตามขั้นตอนดังนี้






ระยะแรกจะมีไขมันไปสะสมในเนื้อตับ ซึ่งภาวะไขมันสะสมในเนื้อตับนี้อาจเกิดได้จากภาวะอื่นๆเช่น เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ หรือ เกิดจากความผิดปกติในการบริหารจัดการกับไขมันในร่างกาย
ดังรูปจะเป็นภาพไขมันที่เกาะในเนื้อตับ จะมองเห็นตับเป็นสีเหลืองนวล อีกภาพเป็นภาพเนื้อตับจากกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่าเนื้อเยื่อไขมันแทรกอยู่ในเนื้อตับ เห็นเป็นวงสีขาวๆอยู่ในเนื้อตับดีสีม่วงนั่นเอง

เมื่อ ผ่านช่วงของไขมันสะสมในเนื้อตับไปสักระยะ แล้วยังมีการทำลายเนื้อตับต่อไปด้วยสารพิษต่างๆที่เรานำเข้าไปสู่ร่างกาย เมื่อมีเนื้อตับบางส่วนตาย ตับ ก็จะพยายามสร้างหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเพื่อทำงานทดแทนส่วนที่เสียหาย ทำให้เรามองเห็นเนื้อตับเป็นตะปุ่มตะป่ำ โดยจากตุ่มเล็กๆ(micronodular cirrhosis) ไปจนถึงตุ่มใหญ่ (macro nodular cirrhosis) ตามลำดับภาพที่แสดงต่อไปนี้



 
เพื่อให้เข้าใจง่ายๆจะแบ่ง เป็นผลทางตรง และทางอ้อม ผลทางตรงก็คือร่างกายสูญเสียหน้าที่การทำงานของตับ เพราะตับเป็นแหล่งกำจัดของเสียในร่างกายทำให้ร่างกายของเรามีของเสียต่างๆ คั่งค้าง โดยเฉพาะของเสียที่มาจากทางเดินอาหาร เพราะตับมีหน้าที่ดักจับสารพิษที่ร่างกายได้รับมาจากอาหารโดยตรงอยู่แล้ว เมื่อของเสียมีปริมาณมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคตับทุกราย







1.อาการตาเหลือง สังเกตดูสีเหลืองที่ตา
2. ฝ่ามือแดง บริเวณเนินใต้นิ้วหัวแม่มี และนิ้วก้อยจะมีสีแดงกว่าคนปกติ แต่เมื่อกดรั้งจะจางหายไป หญิงตั้งครรภ์และคนปกติก็อาจพบได้
3. จุดแดงคล้ายตัวแมงมุมเกิดจากเส้นเลือดที่พองตัวมีเส้นเลือดฝอยแตกออกโดยรอบ คล้ายเส้นทแยงมุมดึงรั้งให้ตึงจะจางหาย พบในบริเวณหน้าอก ต้นแขน ใบหน้า และจมูก
4. อาการท้องมาน หรือท้องบวม เนื่องจากน้ำขังในช่องท้อง
 5. อาการนมโต และ จุดแดงตัวแมงมุม ในผู้ชายที่เป็น โรคตับแข็ง



ตับยังเป็นแหล่งสร้างโปรตีนในกระแสเลือดชนิดหนึ่งมีชื่อว่า อัลบูมิน [albumin] โปรตีนตัวนี้ทำหน้าที่สำคัญคือดูดสารน้ำไว้ในกระแสเลือด หากโปรตีนชนิดนี้น้อยลงจะทำให้มีน้ำรั่วออกจากกระแสเลือดไปสะสมตามเนื้อ เยื่อต่างๆ ทำให้ผู้ป่วยมีสภาวะขาบวม  
ตับเป็นที่สร้างน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ในการย่อยอาหารไขมัน หากว่า ตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้การย่อยไขมันไม่มีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยจะมีสภาวะท้องอืดเมื่อรับประทานไขมันที่ต้องการย่อยเข้าไป







แต่ ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต คือเส้นเลือดที่หลอดอาหารโป่งพอง และเส้นเลือดที่กระเพาะอาหารโป่งพอง ซึ่งถ้าหากมันแตก จะทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหารอย่างรุนแรงผู้ป่วยจะเสียเลือดมากและถึงแก่ ชีวิตได้ ยิ่งถ้าตับเสื่อมการทำงานมากเลือดก็จะไม่สามารถแข็งตัวได้ อันตรายมากๆ
ผลเสียที่ไม่ได้เกิดจากหน้าที่การทำงานของตับ คือ การที่ตับแข็ง ก็จะทำให้เลือดจากทางเดินอาหารที่จะไปกรองที่ตับก่อนนั้นเดินไม่สะดวก มันจึงหาทางเบี่ยงโดยไม่ผ่านการกรองไปทั่วร่างกายได้ทันที ทางเบี่ยงนี้เป็นเส้นเลือดเล็กๆที่อยู่ในช่องท้อง อยู่ในทางเดินอาหาร และอยู่บริเวณผิวหนังของผนังหน้าท้องที่เห็นจากภายนอกคือเส้นเลือดที่หน้า ท้องโป่งพอง


 สำคัญที่สุดคือหลีก เลี่ยงสาเหตุต่างๆที่กล่าวมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงดดื่มสุรา หรือดื่มแต่ปริมาณน้อยๆ ไม่ดื่มประจำ ฉีดวัคซีน ป้องกันไวรัสตับอักเสบ
หลีกเลี่ยงสารพิษโดยไม่รับประทานอาหารเก่าเก็บ หรือขึ้นรา
หากเป็นตับแข็งแล้ว ต้องรู้จักเลือกบริโภคอาหาร ต้องเลือกโปรตีนที่สะอาด ซึ่งเมื่อย่อยแล้วไม่ทำให้เกิดสารพิษที่มากเกินไปจนตับไม่สามารถกำจัดได้หมด
เลือกรับประทานไขมันชนิดที่ไม่ต้องย่อยเพราะตอนนี้ระบบการย่อยไขมันทำงานไม่สมบูรณ์ซึ่งไขมันดังกล่าว คือ กรดไขมันที่จำเป็น
นอกจากนี้ยังควรบริโภคอาหารเสริมที่มีคุณสมบัติดักจับอนุมูลอิสระ เพื่อเป็นการขจัดสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งตับหลังจากเป็นตับแข็งแล้ว








สมุนไพรหมอกบ่วาย

 นี้เป็นพืชล้มลุก ในอดีตหมอพื้นบ้านในภาคอีสานใช้ต้นแห้งนำมาดองกับเหล้าเพื่อรักษาโรคท้องมาน ส่วนต้นสดจะนำมาขยี้ ทาแก้ขี้กลาก เกลื้อน ส่วนในตำรายาไทย ใช้ทั้งต้นกินแก้โรคบิด ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และแก้ไข้มาลาเรีย      

ทั้งนี้ ลักษณะของต้นสมุนไพรหมอกบ่วาย เป็นพืชใบเดี่ยว ขึ้นในที่โล่ง ตามทุ่งหญ้า ในที่ทรายและมีแสงแดดมาก ลำต้นแผ่ระนาบพื้นดิน ขนาดกว้างเท่ากับเหรียญสิบบาท กลีบใบสีเขียวอ่อนเรียงสลับกันมีขนสีแดงขึ้น และปลายขนจะมีเมือกใสคล้ายน้ำค้างเกาะอยู่ตลอดวัน ชาวบ้านจึงเรียกกันหลายชื่อ เช่น จอกบ่วาย หรือน้ำค้างกลางเที่ยง มีก้านช่อยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด จากการสำรวจสมุนไพรดังกล่าว พบว่า ขณะนี้มีเหลืออยู่ที่เดียวในประเทศ คือ ที่หน้าวัดป่านาเพียงใหม่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย และเหลือน้อยมาก ใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากถูกนายทุนบุกรุกที่ปลูกพืชยืนต้นอื่นแทน





สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดยฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ได้ คัดเลือกสมุนไพรไทยที่สามารถออกฤทธิ์ป้องกันการทำลายของเซลล์ตับหรือบำรุง รักษาตับ มาพัฒนาเป็นอาหารเสริมที่มีประสิทธิผลและความปลอดภัยสูง ผลจากการคัดเลือกปรากฎว่า พืชสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ พริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน ให้ผลในการป้องกันโรคตับได้ดี โดยได้นำสารสกัดจากพืชสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดที่มีฤทธิ์เสริมกัน มาผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสม และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด พร้อมกับทดสอบฤทธิ์ในการป้องกันการถูกทำลายของตับจากสารเคมี กระตุ้นการสร้างเซลล์ตับ และเพิ่มการหลั่งน้ำดี



















ผลทางชีวภาพและเภสัชวิทยาของเห็ดหลินจือ ในเรื่องของโรคตับ และพบว่าภายในเห็ดหลินจือมีสารสำคัญทางยาที่ใช้รักษาโรคตับ สามารถจำแนกสารได้หลายชนิดคือ กลุ่มสารโพลิแซ็กคาไรด์ เป็นกลุ่มสารหลายชนิดที่มีสรรพคุณทางยาปกป้องตับจากสารพิษ (Hepatoprotective activity)โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งสารพิษ เช่น คาร์บอนเตตราคลอไรด์ ไม่ให้ทำลายเซลล์ตับ
กลุ่มสารไตรเทอร์ปินนอยด์ (Bitter Triterpenoids)เป็นกลุ่มสารที่มีฤทธิ์ในการปกป้อง บำรุงและรักษาโรคตับ ประกอบด้วย กรดกาโนเดอริค( Ganoderic acid ) และกรดลูซิเดนิค (Lucidenic acid) พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านสารพิษที่มีต่อตับ(Antihepatotoxic)และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในตับ (Cytotoxicty on hepatoma cells) นอกจากนี้พบว่ายังมีสาร กาโนโดสเตอโรน(Ganodosterone) เป็นสารที่มีฤทธิ์ในการลดพิษที่มีต่อตับด้วย ในปัจจุบัน ประเทศเกาหลี นำสารกาโนโดสเตอโรนของเห็ดหลินจือนี้ ใช้เป็นยาบำรุงตับ 

ติดต่อเราได้ที่     ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภิรยาดาการแพทย์
โทร .038-027681 ,  085-7450472,085-9307722 ,087-9172219    Fax.  038-027681
email : Pirayadakanpat@gmail.com